การย้ายตู้เย็นอาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่หากทำไม่ถูกวิธีอาจสร้างความเสียหายให้กับทั้งต่อตัวเครื่องและต่อสุขภาพของเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก หากคุณกำลังวางแผนจะย้ายบ้านหรือกำลังจัดห้องใหม่ การรู้วิธีขนย้ายตู้เย็นอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การย้ายตู้เย็น

ซึ่งการใช้บริการรับจ้างขนของ หรือขนย้ายเฟอร์นิเจอร์จากมืออาชีพที่เชื่อถือได้ อาจช่วยป้องกันความเสียหายและยืดอายุการใช้งานของเครื่องได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะให้คำแนะนำทีละขั้นตอนสำหรับการย้ายตู้เย็นด้วยตัวเองอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณมั่นใจในการย้าย และดูแลเครื่องให้ใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น

ย้ายตู้เย็นต้องระวังอะไรบ้าง และมีความเสี่ยงอย่างไรถ้าย้ายผิดวิธี

การย้ายตู้เย็นมีความเสี่ยงหลายด้านที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะหากดำเนินการผิดวิธี อาจส่งผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่เพียงแต่ทำให้ตู้เย็นเสียหาย แต่ยังอาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงเกินจำเป็น หรือถึงขั้นต้องซื้อเครื่องใหม่

ย้ายตู้เย็นต้องระวังอะไรบ้าง

การรู้เท่าทันและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การขนย้ายตู้เย็นเป็นไปอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงทั้งต่อเครื่อง ต่อคน และต่อทรัพย์สินโดยรวม โดยเราจะยกตัวอย่าง 7 ความเสี่ยงหลัก ๆ จากการย้ายผิดวิธี ดังนี้

  1. คอมเพรสเซอร์เสียหาย

นี่คือหัวใจสำคัญของการทำงานของตู้เย็น ภายในคอมเพรสเซอร์มีน้ำมันหล่อลื่นและกลไกที่ซับซ้อน การที่ตู้เย็นถูกเขย่าอย่างรุนแรง พลิกตะแคง หรือวางในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน อาจทำให้น้ำมันในคอมเพรสเซอร์ไหลผิดที่ หรือคอมเพรสเซอร์เกิดการกระแทกภายในจนชำรุด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตู้เย็นไม่สามารถทำความเย็นได้อีก

  1. สายไฟหรือท่อระบายความร้อนเสียหาย

การลากตู้เย็นบนพื้น หรือลากโดยไม่ยกขึ้นจากมุมที่ถูกต้อง อาจทำให้สายไฟขาดหรือหลุดออกจากจุดเชื่อม รวมถึงท่อระบายความร้อนที่อยู่ด้านหลังอาจแตกหรือบิดงอ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ตู้เย็นทำงานผิดปกติ แต่ยังเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรอีกด้วย

  1. ความชื้นหรือน้ำแข็งตกค้าง

หากไม่ได้ถอดปลั๊กและปล่อยให้น้ำแข็งละลายก่อนการย้าย อาจเกิดน้ำตกค้างอยู่ภายใน ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดกลิ่นอับ ยังเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อรา หรือแม้แต่การไหลของน้ำไปยังชิ้นส่วนไฟฟ้าภายใน ซึ่งอาจทำให้วงจรเสียหาย

  1. โครงสร้างของตู้เย็นเสียหาย

การขนย้ายโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วย เช่น เข็มขัดพยุงหรือรถเข็น อาจทำให้แรงกดทับตกอยู่ที่จุดไม่เหมาะสม เช่น ขอบล่างหรือมุมของตู้เย็น ส่งผลให้โครงตู้บิดเบี้ยวหรือแตกหักได้

  1. น้ำยาทำความเย็นรั่วไหล

ท่อทองแดงขนาดเล็กที่บรรจุน้ำยาทำความเย็นมีโอกาสแตกหักหรือรั่วซึมได้ง่าย หากเกิดการกระแทกอย่างรุนแรงหรือถูกบีบอัด ความเสียหายนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ระบบทำความเย็นล้มเหลว แต่ยังอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพหากน้ำยาทำความเย็นบางชนิดรั่วไหลออกมา

  1. อุบัติเหตุจากการขนย้ายไม่ระมัดระวัง

ตู้เย็นอาจล้มทับเท้า หลุดมือระหว่างยก หรือขอบตู้ไปกระแทกกับผนัง ประตู หรือเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่ออุปกรณ์และโครงสร้างภายในบ้าน เช่น ผนังหรือประตูแตก รวมถึงพื้นบ้านที่อาจเกิดรอยขีดข่วนหากมีการลากตู้เย็นผิดวิธี

  1. อันตรายต่อร่างกายผู้ยก

หากยกตู้เย็นโดยไม่มีท่าทางที่เหมาะสม เช่น ใช้แรงเพียงคนเดียวโดยไม่ขอความช่วยเหลือ หรือไม่มีอุปกรณ์ช่วย เช่น เข็มขัดพยุงหลังหรือรถเข็น อาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เช่น ปวดหลัง กล้ามเนื้อฉีก ข้อเข่าอักเสบ หรือแม้กระทั่งกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ยกของหนักมาก่อน

การเตรียมความพร้อมและปฏิบัติตามคำแนะนำที่ถูกต้อง จะช่วยให้การขนย้ายตู้เย็นเป็นไปอย่างปลอดภัยและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายซ่อมแซม และเกิดอุบัติเหตุในภายหลัง โดยเฉพาะในกรณีที่ตู้เย็นมีขนาดใหญ่หรือมีระบบทำความเย็นที่ซับซ้อน ทำให้การศึกษาและการทำความเข้าใจในโครงสร้างของตู้เย็นแต่ละรุ่น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ตู้เย็นนอนได้ไหม? ความเข้าใจผิดที่ควรระวังในการขนย้าย

หนึ่งในคำถามยอดฮิตเวลาที่ต้องขนย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่อย่าง “ตู้เย็น” คือ ตู้เย็นนอนได้ไหม หรือพูดให้เข้าใจได้ง่ายว่า สามารถวางนอนในขณะขนย้ายได้หรือไม่ คำตอบคือ “ไม่แนะนำอย่างยิ่ง” 

เพราะแม้จะดูเหมือนสะดวกในแง่ของพื้นที่ในรถหรือการเคลื่อนย้าย แต่การวางตู้เย็นในแนวนอนนั้นส่งผลเสียโดยตรงต่อระบบภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคอมเพรสเซอร์ ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของตู้เย็น ดังนี้

ตู้เย็นนอนได้ไหม?

ทำไมถึงไม่ควรวางตู้เย็นในแนวนอน?

  1. การไหลของน้ำมันคอมเพรสเซอร์
  • ภายในคอมเพรสเซอร์ของตู้เย็นมีน้ำมันหล่อลื่นที่ทำหน้าที่สำคัญในการช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อตู้เย็นถูกวางในแนวนอน น้ำมันเหล่านี้อาจไหลออกจากคอมเพรสเซอร์และเข้าไปอุดตันในท่อทำความเย็น (ซึ่งโดยปกติจะมีขนาดเล็กและถูกออกแบบมาเพื่อการไหลเวียนของน้ำยาทำความเย็นเท่านั้น) 
  • เมื่อตู้เย็นถูกตั้งขึ้นและเสียบปลั๊กใช้งาน น้ำมันที่อุดตันอยู่จะขัดขวางการไหลเวียนของน้ำยาทำความเย็น ทำให้ระบบทำความเย็นไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือไม่ทำงานเลย
  1. เกิดฟองอากาศในระบบหล่อเย็น
  • นอกจากน้ำมันคอมเพรสเซอร์ที่อาจไหลผิดตำแหน่งแล้ว การวางตู้เย็นในแนวนอนยังอาจทำให้อากาศจากภายนอกหรืออากาศที่ปะปนอยู่ในระบบในปริมาณเล็กน้อยสามารถแทรกซึมหรือก่อตัวเป็นฟองอากาศในจุดที่ไม่เหมาะสมภายในท่อระบบหล่อเย็นได้ง่ายขึ้น 
  • ฟองอากาศเหล่านี้จะไปขัดขวางการไหลเวียนของน้ำยาทำความเย็น ทำให้ระบบไม่สามารถแลกเปลี่ยนความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การทำความเย็นไม่สม่ำเสมอ ตู้เย็นใช้เวลานานกว่าปกติในการทำความเย็นให้ถึงอุณหภูมิที่กำหนด หรืออาจไม่เย็นจัดตามที่ควรจะเป็นในบางส่วนของตู้ ซึ่งจะทำให้ตู้เย็นทำงานหนักขึ้นและสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ
  1. แรงกดทับผิดจุด 
  • ตู้เย็นถูกออกแบบมาเพื่อรับน้ำหนักในแนวตั้ง ไม่ใช่ในแนวราบ โครงสร้างภายในและภายนอกถูกสร้างมาเพื่อรองรับแรงกดทับจากน้ำหนักของตัวตู้และสิ่งของภายในในแนวตั้งฉากกับพื้นดิน การวางตู้เย็นในแนวนอนจะทำให้เกิด แรงกดทับผิดจุด บนส่วนสำคัญของโครงสร้าง เช่น บริเวณมุมด้านที่วางราบไปกับพื้น ประตู หรือแม้กระทั่งฐานตู้เย็น
  • การรับน้ำหนักในลักษณะที่ไม่ถูกต้องนี้ อาจทำให้โครงสร้างเหล่านี้เสียรูป บิดงอ หรือแม้กระทั่งแตกหักได้ โดยเฉพาะหากมีการสั่นสะเทือนหรือการกระแทกในระหว่างการขนย้าย ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการปิดสนิทของประตู ทำให้เกิดการรั่วไหลของความเย็น หรือแม้กระทั่งทำให้อุปกรณ์ภายในเสียหายได้

ดังนั้น หลักการสำคัญในการย้ายตู้เย็น คือ พยายามรักษาตู้เย็นให้อยู่ในแนวตั้งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เสมอ หากสถานการณ์จำเป็นต้องเอียง ควรเอียงในองศาที่น้อยที่สุดและเป็นระยะเวลาสั้นที่สุดเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อความเสียหาย

หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรทำอย่างไร?

แม้ว่าจะไม่แนะนำให้วางตู้เย็นในแนวนอน แต่ในบางสถานการณ์ เช่น ข้อจำกัดด้านพื้นที่ในการขนส่ง หรือทางเข้าที่แคบมาก ทำให้คุณไม่มีทางเลือกอื่น สิ่งสำคัญคือต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังสูงสุดและปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ เพื่อลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด

วางตู้เย็นในแนวนอน
  1. เลือกวางตู้เย็นโดยให้ด้านที่มีคอมเพรสเซอร์อยู่ด้านบน
  • หากคุณจำเป็นต้องวางตู้เย็นในแนวนอน ให้สังเกตตำแหน่งของคอมเพรสเซอร์ซึ่งมักจะอยู่ที่ด้านล่างด้านหลังของตู้เย็น และวางตู้เย็นโดยให้ด้านนี้ หงายขึ้นด้านบน หรืออยู่ด้านบนสุดเสมอ 
  • วิธีนี้จะช่วยให้น้ำมันหล่อลื่นที่อยู่ในคอมเพรสเซอร์มีโอกาสไหลย้อนกลับเข้าไปในตัวคอมเพรสเซอร์ได้ง่ายขึ้น และลดโอกาสที่น้ำมันจะไหลไปอุดตันในท่อระบบทำความเย็นส่วนอื่น
  1. หลีกเลี่ยงการวางแนวนอนเป็นเวลานานเกินไป
  • หากคุณต้องวางตู้เย็นในแนวนอน ให้ใช้เวลาในการขนย้ายและวางในแนวนอนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ควรวางแนวนอนเกิน 30 นาที 
  • ยิ่งวางนานเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่น้ำมันจะไหลออกนอกคอมเพรสเซอร์ และเกิดฟองอากาศในระบบก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย พยายามเคลื่อนย้ายตู้เย็นกลับสู่แนวตั้งโดยเร็วที่สุด
  1. หลังตั้งกลับเป็นแนวตั้งแล้ว ควรรออย่างน้อย 4–6 ชั่วโมง
  • เมื่อคุณขนย้ายตู้เย็นมาถึงปลายทางและตั้งตู้เย็นกลับสู่แนวตั้งแล้ว สิ่งสำคัญคือ ห้ามเสียบปลั๊กทันทีเด็ดขาด! คุณควรรออย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง 
  • เพื่อให้น้ำมันหล่อลื่นภายในระบบคอมเพรสเซอร์ที่อาจไหลออกมาในระหว่างการวางนอน ไหลกลับสู่ตำแหน่งเดิมอย่างสมบูรณ์ และให้น้ำยาทำความเย็นปรับสมดุลเข้าที่ภายในระบบ
  1. หากวางนอนนาน ควรรอถึง 12–24 ชั่วโมงเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
  • ในกรณีที่คุณจำเป็นต้องวางตู้เย็นในแนวนอนเป็นระยะเวลานาน (เช่น ขนส่งในระยะทางไกล หรือต้องใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายนานกว่าปกติ) คุณควรเพิ่มระยะเวลารอคอยก่อนเสียบปลั๊กให้ยาวนานขึ้น อาจจะเป็น 12 ชั่วโมง หรือ สูงสุดถึง 24 ชั่วโมง 
  • เพื่อให้แน่ใจว่าทุกส่วนประกอบภายในระบบทำความเย็น โดยเฉพาะน้ำมันและน้ำยาทำความเย็น ได้กลับสู่สภาพปกติและพร้อมสำหรับการทำงานอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัด อาจช่วยลดความเสี่ยงที่ตู้เย็นของคุณจะเสียหายได้ แม้ในสถานการณ์ที่คุณจำเป็นต้องวางในแนวนอนชั่วคราว

ขั้นตอนและวิธีขนย้ายตู้เย็นที่ถูกต้อง

การย้ายตู้เย็นให้ปลอดภัยนั้น ไม่ได้มีแค่การยกหรือขนให้ถึงที่ แต่ต้องให้ความสำคัญกับทุกช่วงเวลา ตั้งแต่ก่อนย้าย ระหว่างย้าย ไปจนถึงหลังย้าย เพราะแต่ละช่วงล้วนมีข้อควรระวังเฉพาะที่หากละเลยไป อาจทำให้ตู้เย็นของคุณเสียหายหรือใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยเราจะพาคุณไปดูทีละขั้นตอน ว่าควรทำอะไรบ้างในแต่ละช่วง เพื่อให้การขนย้ายตู้เย็นของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย และใช้งานได้ยาวนานเหมือนเดิม

ก่อนขนย้าย

เป็นช่วงที่คุณต้องเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการละลายน้ำแข็ง เคลียร์ของภายใน หรือจัดระเบียบสายไฟและชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้ปลอดภัยและไม่หลุดหล่นระหว่างเคลื่อนย้าย โดยมีขั้นตอน ดังนี้

ก่อนขนย้ายตู้เย็น
  1. ถอดปลั๊กและละลายน้ำแข็ง (24-48 ชั่วโมงล่วงหน้า) 

นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการเตรียมตู้เย็นให้พร้อมสำหรับการขนย้าย คุณควรถอดปลั๊กตู้เย็นล่วงหน้าอย่างน้อยเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง (สำหรับตู้เย็นขนาดใหญ่ อาจต้องใช้เวลานานขึ้น) เพื่อให้น้ำแข็งที่เกาะอยู่ภายในช่องฟรีซและบริเวณอื่น ๆ ละลายหมด และให้น้ำยาทำความเย็นภายในตู้เย็นมีเวลาปรับสมดุลและไหลกลับสู่ตำแหน่งที่ถูกต้อง

  1. นำอาหารและสิ่งของภายในตู้เย็นออกให้หมด 

เคลียร์อาหารสด อาหารแช่แข็ง และเครื่องดื่มออกจากตู้เย็นให้หมด เพื่อป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ การเน่าเสีย หรือการรั่วไหลของของเหลว อีกทั้งยังช่วยลดน้ำหนักของตู้เย็น ทำให้ขนย้ายได้ง่ายขึ้น

  1. ทำความสะอาดตู้เย็น

หลังจากนำสิ่งของออกและน้ำแข็งละลายหมดแล้ว ให้ทำความสะอาดภายในตู้เย็นให้ทั่วถึง โดยใช้ผ้าแห้งเช็ดตามด้วยผ้าชุบน้ำผสมเบกกิ้งโซดาเพื่อล้างทำความสะอาดเช็ดคราบสกปรก คราบน้ำที่เกิดจากการละลายน้ำแข็ง จากนั้นนำผ้ามาซับให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันเชื้อราและกลิ่นอับ 

  1. ถอดชั้นวาง ลิ้นชัก และชิ้นส่วนเสริมทั้งหมด 

แยกออกมาใส่กล่อง ห่อด้วยพลาสติกกันกระแทกหรือผ้านุ่ม ๆ เพื่อป้องกันการกระแทก การแตกหัก หรือเสียรูปจากแรงสั่นสะเทือนระหว่างเดินทาง

  1. มัดประตูตู้เย็นให้แน่นด้วยเทปกาวหรือสายรัดที่มั่นคง 

ใช้เทปกาวชนิดที่ลอกออกง่าย (เช่น เทปสำหรับงานห่อหุ้ม) พันจากประตูเข้ากับตัวเครื่องหรือสายรัดยึดทั้งเครื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้ประตูเปิดออกเองระหว่างขนส่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายต่อภายในตู้ หรือพลาสติกแรปห่อยึดส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ถอดออกไม่ได้เพื่อไม่ให้หลุดหรือกระแทกกันเองขณะขนย้าย 

  1. ม้วนเก็บสายไฟให้เรียบร้อย

ใช้สายรัดหรือเทปกาวพันรวมไว้ให้แน่น เพื่อไม่ให้สายไฟพันหรือติดกับสิ่งของอื่นระหว่างขนย้าย และควรติดป้ายหรือระบุให้เห็นชัดเจนว่าคือสายของตู้เย็น

  1. จัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น

ก่อนเริ่มเคลื่อนย้าย ให้วัดขนาดความกว้างและความสูงของประตูทางเข้า-ออกทุกบาน ทางเดิน บันได และช่องว่างต่าง ๆ ที่ตู้เย็นจะต้องผ่าน เพื่อวางแผนเส้นทางการขนย้ายที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการติดขัด

  1. วัดขนาดประตูและวางแผนเส้นทาง

เตรียมอุปกรณ์ช่วยขนย้ายที่จำเป็น เช่น รถเข็นตู้เย็น (hand truck) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยผ่อนแรงและรักษาตู้เย็นให้อยู่ในแนวตั้งได้ สายรัดสำหรับยึดตู้เย็นเข้ากับรถเข็น ผ้าห่มหนาๆ หรือพลาสติกกันกระแทกสำหรับห่อหุ้มตู้เย็น และถุงมือสำหรับป้องกันมือ

แม้ว่าขั้นตอนในการเตรียมตัวก่อนขนย้ายอาจดูเยอะกว่าขั้นตอนอื่น ๆ แต่เชื่อเถอะว่าทุกรายละเอียดมีความสำคัญมากอย่างยิ่ง หากคุณทำตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างครบถ้วนและพิถีพิถัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อความเสียหายของตู้เย็นได้อย่างมหาศาล และยังช่วยให้คุณประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่ไม่จำเป็นในอนาคตได้อย่างแน่นอน

ระหว่างขนย้าย

การย้ายตู้เย็น ในช่วงระหว่างการขนย้ายนั้นเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความระมัดระวังและใช้แรงงานเป็นอย่างมาก การปฏิบัติตามหลักการที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันความเสียหายร้ายแรงต่อตู้เย็นและตัวผู้ขนย้ายเอง

ระหว่างขนย้ายตู้เย็น
  1. ใช้รถเข็นตู้เย็นเสมอ อุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ 
  • นี่คือเคล็ดลับสำคัญที่สุดในการขนย้ายตู้เย็นอย่างปลอดภัย การพยายามยกตู้เย็นขนาดใหญ่ด้วยมือเปล่า ไม่เพียงแต่จะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บรุนแรงต่อตัวคุณและผู้ช่วย แต่ยังเสี่ยงที่ตู้เย็นจะหลุดมือ ตกกระแทก หรือเสียหลักล้มได้ง่ายอีกด้วย
  • รถเข็นตู้เย็น ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อการเคลื่อนย้ายวัตถุที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากอย่างปลอดภัย มีฐานกว้างและล้อที่แข็งแรง ช่วยให้คุณสามารถเลื่อนตู้เย็นเข้าสู่รถเข็นได้อย่างมั่นคง หลังจากวางตู้เย็นบนรถเข็นแล้ว ให้ใช้สายรัดยึดตู้เย็นเข้ากับโครงของรถเข็นให้แน่นหนาที่สุด 
  • เพื่อป้องกันไม่ให้ตู้เย็นขยับ ล้ม หรือเลื่อนหลุดจากรถเข็นระหว่างการเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาตู้เย็นให้อยู่ในแนวตั้งและป้องกันความเสียหาย
  1. รักษาแนวตั้งให้มากที่สุด
  • การรักษาตู้เย็นให้อยู่ในแนวตั้งตลอดเวลาการขนย้ายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อปกป้องระบบทำความเย็นภายใน พยายามรักษาตู้เย็นให้ตั้งตรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เสมอ ไม่ว่าจะกำลังเข็นไปตามทางเรียบ, ขึ้น-ลงทางลาด หรือแม้แต่ยกขึ้นรถขนส่ง 
  • หากสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องเอียงตู้เย็น (เช่น ต้องผ่านช่องประตูที่แคบมาก หรือทางโค้งหักศอก) ให้เอียงเพียงเล็กน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น (ไม่เกิน 45 องศาถ้าเป็นไปได้) และรีบนำกลับมาตั้งตรงโดยเร็วที่สุด โดยการเอียงตู้เย็นเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงให้น้ำมันคอมเพรสเซอร์ไหลผิดตำแหน่งและเกิดฟองอากาศในระบบ
  1. เคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวังและช้า ๆ 
  • การรีบร้อนในการเคลื่อนย้ายตู้เย็นเป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ เดินช้าๆ และควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ของรถเข็นตู้เย็นอย่างเต็มที่ มองหาและระมัดระวังสิ่งกีดขวางต่างๆ บนพื้น เช่น พื้นต่างระดับ พรมขรุขระ หรือสิ่งของที่วางเกะกะ หากต้องขึ้นหรือลงบันได
  • จุดที่อันตรายที่สุดควรมีคนช่วยอย่างน้อย 2-3 คนเสมอ โดยให้คนหนึ่งอยู่ด้านบนคอยประคองและควบคุมทิศทาง ส่วนอีกคนหนึ่งอยู่ด้านล่างคอยรับน้ำหนักและระมัดระวังการลื่นไถล ควรใช้เทคนิคการประคองตู้เย็นให้มั่นคง และค่อย ๆ เคลื่อนที่ไปทีละขั้นอย่างช้า ๆ โดยใช้สายรัดตู้เย็นกับรถเข็นให้แน่นหนาที่สุด

การปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้อย่างเคร่งครัดระหว่างการขนย้าย จะช่วยให้ตู้เย็นของคุณปลอดภัยจากการกระแทก และความเสียหายภายใน พร้อมใช้งานได้ตามปกติเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทาง แต่หากไม่ไหวการเรียกใช้บริการรับจ้างขนของอาจเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อความสะดวก สบายของคุณ

หลังขนย้าย

ขั้นตอนหลังการ ย้ายตู้เย็น มีความสำคัญไม่แพ้ขั้นตอนการเตรียมตัวและการขนย้ายเลยทีเดียว การละเลยในส่วนนี้อาจทำให้ตู้เย็นเสียหายได้ง่าย ๆ แม้ว่าคุณจะขนย้ายมาอย่างถูกวิธีก็ตาม

หลังขนย้ายตู้เย็น
  1. วางตู้เย็นในตำแหน่งที่ต้องการ
  • เมื่อนำตู้เย็นมาถึงที่หมายแล้ว ให้เลือกตำแหน่งที่จะวางตู้เย็นอย่างรอบคอบ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพื้นบริเวณนั้น เรียบเสมอกันและแข็งแรง พอที่จะรับน้ำหนักของตู้เย็นได้ การวางบนพื้นผิวที่ไม่เรียบอาจทำให้ตู้เย็นไม่สมดุลและส่งผลต่อการทำงานของคอมเพรสเซอร์ได้ 
  • นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือ ต้องมีพื้นที่ว่างด้านหลังและด้านข้างตู้เย็นเพียงพอสำหรับการระบายความร้อน โดยทั่วไปควรเว้นระยะห่างจากผนังด้านหลังอย่างน้อย 5-10 เซนติเมตร และด้านข้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร การระบายความร้อนที่ไม่เพียงพอจะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกินไป สิ้นเปลืองพลังงาน และอาจทำให้อายุการใช้งานของตู้เย็นสั้นลง
  1. พักตู้เย็นก่อนเสียบปลั๊ก (4-24 ชั่วโมง)
  • ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจหลักของการดูแลตู้เย็นหลังการขนย้ายเลยก็ว่าได้ หลังจากที่คุณได้ย้ายตู้เย็น และนำไปวางในตำแหน่งที่ต้องการแล้ว คุณห้ามเสียบปลั๊กตู้เย็นทันทีเด็ดขาด! สาเหตุเป็นเพราะในระหว่างการขนย้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการเอียงหรือเขย่า 
  • อาจทำให้น้ำมันหล่อลื่นที่อยู่ในคอมเพรสเซอร์และน้ำยาทำความเย็นเคลื่อนที่ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม การรีบเสียบปลั๊กและเปิดการทำงานในขณะที่น้ำมันและน้ำยายังไม่กลับเข้าที่ อาจทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานผิดปกติอย่างรุนแรง ระบบทำความเย็นเสียหายถาวร หรือแม้กระทั่งพังไปเลย
  1. เสียบปลั๊กและตรวจสอบการทำงาน

เมื่อครบกำหนดเวลาพักตู้เย็นแล้ว ให้เสียบปลั๊กตู้เย็นเข้ากับเต้ารับไฟฟ้าที่ถูกต้องและมั่นคง จากนั้น สังเกตการณ์การทำงานของตู้เย็นอย่างใกล้ชิด

  • ฟังเสียง: ตู้เย็นควรมีเสียงการทำงานของคอมเพรสเซอร์ที่สม่ำเสมอ ไม่ควรมีเสียงดังผิดปกติ เช่น เสียงกุกกัก เสียงแกร๊ก ๆ หรือเสียงหึ่ง ๆ ที่รุนแรง
  • สัมผัส: ลองสัมผัสบริเวณด้านข้างหรือด้านหลังของตู้เย็น คุณควรจะรู้สึกได้ถึงความร้อนเล็กน้อย ซึ่งบ่งบอกว่าระบบทำความเย็นกำลังทำงานอยู่
  • รอทำความเย็น: ตู้เย็นจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในการทำความเย็นให้ถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยเฉพาะช่องฟรีซ ควรใจเย็นและรอให้ตู้เย็นทำความเย็นจนได้ที่ ก่อนที่จะเริ่มจัดเก็บอาหารและสิ่งของกลับเข้าไป การรีบใส่ของจะทำให้ตู้เย็นทำงานหนักขึ้น
  1. จัดเรียงอาหารและสิ่งของ
  • เมื่อตู้เย็นเย็นได้ที่แล้ว และคุณมั่นใจว่าระบบทำงานปกติ ไม่มีเสียงผิดปกติ หรือปัญหาใด ค่อย ๆ จัดเรียงอาหารและสิ่งของต่าง ๆ กลับเข้าไปในตู้เย็นตามปกติ 
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้จัดเก็บอาหารอย่างเป็นระเบียบ ไม่วางแน่นจนเกินไป เพื่อให้การไหลเวียนของอากาศภายในตู้เย็นเป็นไปอย่างสะดวก ซึ่งจะช่วยให้ตู้เย็นสามารถรักษาอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างรอบคอบหลังการขนย้าย ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ตู้เย็นของคุณกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นสำคัญนี้ให้คุณใช้งานได้ยาวนานอีกด้วย

ทางเลือกในการจ้างผู้เชี่ยวชาญช่วยขนย้ายตู้เย็น

ผู้เชี่ยวชาญช่วยขนย้ายตู้เย็น

แม้ว่าบทความนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ วิธีขนย้ายตู้เย็น ด้วยตัวเองอย่างละเอียด แต่หากคุณไม่มีอุปกรณ์เพียงพอ ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของการย้ายตู้เย็นด้วยตนเอง หรือตู้เย็นของคุณมีขนาดใหญ่และหนักมาก การเลือกใช้บริการ รับจ้างขนของ หรือผู้ให้บริการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ที่มีประสบการณ์เฉพาะทางถือเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยและคุ้มค่ากว่า เพราะผู้เชี่ยวชาญจะมีเครื่องมือครบ ทีมงานที่ผ่านการฝึกฝน และรู้ขั้นตอนการดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่เป็นอย่างดี

การย้ายตู้เย็นอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากไม่ทำอย่างถูกวิธี อาจนำไปสู่ความเสียหายที่ต้องเสียเงินซ่อมหรือเปลี่ยนเครื่องใหม่ การลงทุนกับการจ้างผู้เชี่ยวชาญ อาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตู้เย็นที่เสียหายจากการขนย้ายที่ผิดวิธีในระยะยาวได้มากกว่าที่คุณคิด และยังช่วยประหยัดเวลาและแรงกายของคุณได้อย่างมหาศาล

Similar Posts